เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางเมืองถึงสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ? คำตอบอาจซ่อนอยู่ในการนำเทคโนโลยีและข้อมูลมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการเมือง หรือที่เราเรียกว่า Smart Governance ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปเปิดโลกแห่งความเป็นไปได้ของเมืองอัจฉริยะ ผ่านการสำรวจ 10 เมืองชั้นนำทั่วโลกที่นำเทคโนโลยีมาใช้ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจราจรติดขัด การจัดการขยะ หรือการให้บริการสาธารณะ เรามาร่วมกันค้นหาว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้เมืองเหล่านี้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไร และเราสามารถนำมาปรับใช้กับเมืองของเราได้อย่างไรบ้าง
การพัฒนาเมืองอัจฉริยะด้าน Smart Governance ในต่างประเทศ
หลายประเทศทั่วโลกได้เริ่มนำแนวคิด Smart Governance มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเมืองของตน ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้การบริหารจัดการเมืองมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ในการให้บริการแก่ประชาชน โดยเมืองที่นำ Smart Governance มาใช้ได้อย่างโดดเด่น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1. บาร์เซโลนา (Barcelona), สเปน
เมืองบาร์เซโลนาเป็นหนึ่งในผู้นำด้าน Smart City ของโลก โดยมีการนำระบบ City OS มาใช้เป็นแพลตฟอร์มกลางในการบริหารจัดการข้อมูลจาก IoT และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ทั่วเมือง ระบบนี้ช่วยให้เมืองสามารถรวบรวมข้อมูลแบบเรียลไทม์ เช่น ข้อมูลการจราจร คุณภาพอากาศ การใช้พลังงาน และนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหารเมือง นอกจากนี้ ยังมี ระบบจัดการน้ำอัจฉริยะ ที่ช่วยลดการใช้น้ำในสวนสาธารณะและพื้นที่สาธารณะได้ถึง 25%
2. สิงคโปร์ (Singapore)
สิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งเมืองที่โดดเด่นในด้าน Smart Governance โดยมีการใช้แพลตฟอร์ม “Virtual Singapore” ซึ่งเป็นระบบจำลองเมืองแบบ 3 มิติที่รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ จากทุกภาคส่วนของเมือง เช่น โครงสร้างพื้นฐาน การจราจร และการใช้พลังงาน Virtual Singapore ช่วยในการวางแผนพัฒนาเมืองและจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อประเมินผลลัพธ์ก่อนการตัดสินใจ นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังมี ระบบบริการสาธารณะแบบครบวงจร เช่น การทำธุรกรรมทางภาษี การร้องเรียน การจองบริการสาธารณะ ผ่านแอปพลิเคชันมือถือ SingPass ที่เชื่อมต่อกับหน่วยงานรัฐทุกภาคส่วน
3. นิวยอร์ก (New York), สหรัฐอเมริกา
เมืองนิวยอร์กมีการนำระบบ NYC Open Data มาใช้ในการเปิดเผยข้อมูลของเมืองอย่างโปร่งใส ระบบนี้รวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ของเมืองและเปิดให้ประชาชน นักวิจัย และธุรกิจสามารถเข้าถึงและใช้งานข้อมูลเหล่านี้ในการวิเคราะห์และพัฒนาบริการต่าง ๆ นอกจากนี้ นิวยอร์กยังใช้ ระบบตรวจสอบและจัดการขยะอัจฉริยะ ที่ช่วยในการบริหารจัดการขยะและรีไซเคิลโดยใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจสอบปริมาณขยะและวางแผนการเก็บขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. โคเปนเฮเกน (Copenhagen), เดนมาร์ก
โคเปนเฮเกนใช้แพลตฟอร์ม Copenhagen Solutions Lab เพื่อรวบรวมข้อมูลจากระบบเซ็นเซอร์และ IoT ทั่วเมือง ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในหลายด้าน เช่น การจัดการพลังงานและการจราจร เมืองมีการใช้ระบบ Smart Traffic Management เพื่อปรับสัญญาณไฟจราจรอัตโนมัติเพื่อให้การจราจรลื่นไหล ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้ ยังมีการติดตามคุณภาพอากาศและใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการวางแผนพัฒนาพื้นที่เมืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
5. โตเกียว (Tokyo), ญี่ปุ่น
โตเกียวได้ใช้แนวคิด Smart Governance ผ่านแพลตฟอร์ม Tokyo Data Platform ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากภาครัฐและเอกชน เช่น ข้อมูลการจราจร การบริโภคพลังงาน และข้อมูลประชากร เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนพัฒนาการบริการสาธารณะ เมืองยังใช้ระบบ Smart Building Management ที่ช่วยในการตรวจสอบการใช้พลังงานของอาคารต่าง ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร นอกจากนี้ ยังมีการนำ AI มาใช้ในการบริหารจัดการการจราจรและระบบขนส่งสาธารณะเพื่อลดความแออัดในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน
การพัฒนาเมืองอัจฉริยะด้าน Smart Governance ในประเทศไทย
นอกจากตัวอย่าง Smart Governance ในต่างประเทศแล้ว เรายังมีตัวอย่างที่มีการประยุกต์ใช้งานและพัฒนา Smart Governance ในประเทศไทยด้วย เช่น
1. ขอนแก่น
ขอนแก่นเป็นผู้นำในการพัฒนา โครงการขอนแก่น Smart City โดยใช้เทคโนโลยีในการจัดการระบบขนส่งสาธารณะผ่าน ขอนแก่นสมาร์ทบัส ที่สามารถติดตามรถบัสแบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ ยังมีการนำข้อมูลจาก IoT และเซ็นเซอร์มาวิเคราะห์การจราจร การใช้พลังงาน และการจัดการทรัพยากรอื่น ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
2. กรุงเทพมหานคร (Bangkok)
กรุงเทพมหานครมีการนำแนวคิด Smart Governance มาใช้ผ่านโครงการ Bangkok Open Data ที่เปิดเผยข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ เช่น การจราจร การใช้พลังงาน และข้อมูลด้านสาธารณสุขให้ประชาชนเข้าถึงได้ นอกจากนี้ ยังมีการใช้ แอป Traffy Fondue เพื่อให้ประชาชนแจ้งปัญหาหรือร้องเรียนปัญหาต่าง ๆ เช่น การจราจรเสียหาย หรือน้ำท่วมขัง ทำให้การจัดการปัญหามีประสิทธิภาพและโปร่งใสมากขึ้น
3. ภูเก็ต
ภูเก็ตใช้ Smart City Data Platform เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้านการท่องเที่ยว การจราจร และการบริหารจัดการพลังงานในเมือง ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาใช้เพื่อวางแผนและปรับปรุงการบริการสาธารณะ เช่น การบริหารจัดการการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับการใช้ทรัพยากรของเมือง
4. เชียงใหม่
เชียงใหม่กำลังพัฒนาเป็น Smart City โดยใช้ ระบบจัดการขยะอัจฉริยะ ที่ติดตั้งเซ็นเซอร์เพื่อตรวจสอบระดับขยะและทำให้หน่วยงานสามารถวางแผนการเก็บขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เชียงใหม่ยังมีการนำข้อมูลด้านการจราจรและคุณภาพอากาศมาใช้ในการวางแผนเมืองและควบคุมมลพิษ
5. พัทยา
พัทยาได้เริ่มต้นโครงการ Pattaya Smart City เพื่อพัฒนาเมืองให้ทันสมัยและเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว โดยมีการใช้ ระบบกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ ที่เชื่อมต่อกับศูนย์ควบคุมกลาง เพื่อช่วยในการจัดการความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ เช่น การชำระค่าบริการและการติดตามข่าวสารของเมือง